วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

บ่องตง จะอธิบายให้ฝรั่งเข้าใจได้ยังไง เป็นภาษาอังกฤษ โดย ครูโอ๊ต ชานุกฤต เธียรกัลยา




"บ่องตง" วลีฮิต แปลบิดเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไงคะ
โดย ครูโอ๊ต ชานุกฤต เธียรกัลยา (มีนาคม 2556)

คำว่า “บ่องตง” ที่ฮิตติดปากชาวไซเบอร์ และมีการใช้กันแพร่หลายในโลกของโซเซียลมีเดีย มาจากคำว่า “บอกตรงๆ” ที่ทำการลดคำและลดเสียงให้สั้นตามประสาวัยรุ่นไทยจนเพี้ยนมาเป็น “บ่องตง”

มีผู้รู้บอกว่า น้องโดม The Star 8 ขวัญใจครูโอ๊ตนี่แหระที่เป็นคนเริ่มใช้คุยกับแฟนคลับ

คำถาม  แล้วภาษาอังกฤษ ถ้าจะบอกชาวต่างชาติว่า
“บ่องตงนะ แกปากเหม็นมาก” จะพูดว่าอะไรดี

คำตอบ  บ่องตง (บอกตรงๆ) ในภาษาอังกฤษ เราใช้วลีที่ว่า
To be Perfectly Honest ครับ
หมายความว่า ถ้าจะให้ฉันบอกแบบตรงๆเลยนะ
(ดังนั้น คำตอบคือ ข้อ A ครับ)

คำว่า Perfectly Honest น้องๆอาจงงว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับ คำว่า Honest (adj) ที่แปลว่า ซื่อสัตย์ และ Perfectly อย่างแน่แท้ อย่างสมบรูณ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็น Adv.ขยายคำว่า Honest

ถ้าเราแปลตรงตัวเลยจะไม่ได้ความหมายครับ
“ถ้าจะให้ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง”  งงคะ ยิ่งทำให้เราไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่

แต่ในวลีนี่ หมายความว่า ถ้าเราอยากจะบอกด้วยความจริงใจ พูดออกมาจากใจ หรือพูดตรงๆกับใครสักคนหนึ่ง ซึ่งก็เทียบได้กับ วลีฮิตของเรา คือ “บ่องตง” นั่นเอง

ไหนๆก็ให้วลี บ่องตง แล้ว จริงๆยังมีวลีที่พอใช้ได้ ความหมายใกล้เคียงอยู่อีก 2-3วลีครับ ครูโอ๊ตให้ไปด้วย เผื่อน้องๆเบื่อพูดว่า To be perfectly honest บ่อยๆ

วลีภาษาอังกฤษที่มีความหมายใกล้เคียงกับ วลีฮิต “บ่องตง” มีดังนี้ครับ

= To be perfectly honest (with you),
= To tell you the truth,
= หรือ สั้นๆว่า Let me tell you (this),

จากนั้นตามด้วยประโยคที่น้องๆอยากจะบ่องตงเลยครับ

กลับมาที่คำถามข้างบน จะบอกเพื่อนชาวต่างชาติว่า
“บ่องตงนะ แกปากเหม็นมาก” จึงพูดว่า

To be perfectly honest, your breath smells really bad, man!”
(บ่องตงนะเพื่อน กลิ่นปากนายเหม็นมากว่ะ)
or

“To tell you the truth, you have really bad breath, dude!”
(บ่องตงนะ แบบไม่อ้อมค้อมเลย แกปากเหม็นมาก!)

Brush your teeth! (แปรงฟังซะบ้างนะ!)

ภาษาอังกฤษ มีเสน่ห์ตรงที่บางครั้งแปลตรงตัว แล้วอาจไม่ได้ใจความ ต้องใช้ จินตนาการ (Imagination) เข้ามาช่วย แล้วน้องๆจะสนุกกับภาษาอังกฤษมากเลย บ่องตง...

แล้วพบกันกับ วลีฮิต แปลบิดเป็นภาษาอังกฤษ โดย ครูโอ๊ต ชานุกต เธียรกัลยา คราวหน้าครับ



วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2556

หงายเงิบ หรือ เงิบ พูดเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร


คำถาม ครูโอ๊ตเข้าใจ คำว่า “เงิบ” ไหม๊คะ กี้หาคำศัพท์ที่คู่ควรไม่ได้จริง 5555

(ขอบคุณน้องมิ๊กกี้ ติวเตอร์สาวสวยจอมซ่าแห่งม.ราม อินเตอร์นะครับ จริงๆน้องมิ๊กกี้เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ แต่น้องกี้ถามเพื่อความแน่ใจ....จัดไปครับ)


คำตอบ ศัพท์โดนๆสมัยนี้ ช่างยากที่จะเข้าใจจริงๆ ครูโอ๊ตเองก็ต้ิองให้น้องกี้ อธิบายเพิ่มเติมครับว่า “หงายเงิบ หรือ เงิบ” นี้ แปลว่าอะไร

สรุปง่ายๆครับ หงายเงิบ หรือ เงิบ เป็นลักษณะอาการหงายท้องกะทันหัน เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรง แรง ตอบกลับอย่างบัวไม่มีน้ำ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหน้าแตก ชะงัก ตกใจ(ในความแรงของผู้พูดหรือคำพูด) จนต้องหงายหลังกันทีเดียว

พอแปล ไทยเป็นไทย แล้ว ....มาแปล ไทย เป็น อังกฤษ บ้างดีกว่าครับ

คำว่า “หงายเงิบ หรือ เงิบ” ใกล้เคียงกับสำนวนในภาษาอังกฤษที่ว่า “to be taken aback” = To be surprised or be startled

คำว่า aback เป็น Adjective ครับ แสดงถึงทิศทางไปด้านหลัง

ดังนั้น สำนวน To Be Taken Aback จึงหมายถึง อาการสะดุ้ง ตกใจจนต้องกระโดด หรือหงายผละไปด้านหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่คิดมาก่อน

เช่น I am taken aback by her blunt and mean remarks.
(ฉันหงายเงิบเลย เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงและแรงของเธอ)

I can’t believe they did that to me. I am taken aback!
(ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกแกจะทำกับฉันได้อย่างนี้ ฉันนี้หงายเงิบเลย)

ข้อควรระวัง:

1. ครูโอ๊ตใช้ preposition byต่อจาก be taken aback นะครับ ว่าเราเงิบโดยอะไร (by what?) หรือ เงิบโดยใคร
(by whom?)

2. อย่าสับสน ระหว่าง TAKE BACK vs. TAKEN ABACK
Take back แปลว่า เอาคืนมา เช่น Susan wants to take her dog back. (ซูซานอยากจะเอาลูกสุนัขของเธอคืนมา)

แต่ Be Taken Aback แปลว่า ตกใจ เซอร์ไพร์ หงายเงิบ

แล้วเจอกันใหม่ครับ กับ วลีฮิต แปลบิดเป็นอังกฤษ โดย ครูโอ๊ต ชานุกฤต เธียรกัลยาครับ

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

สำนวนคำว่า "เยอะ" แปลหรือพูด เป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร


คำถาม...ครูโอ๊ตคะ สำนวนที่เกี่ยวกับคำว่า “เยอะ” จะพูดอย่างไร เป็นภาษาอังกฤษคะ... เพื่อนหนูมันเยอะคะ หนูเลยอยากจะด่ามันเป็นภาษาอังกฤษ ดูไฮโซดี




ตอบ.... ถ้าจะบอกว่า เธอเยอะจริงๆ เราอาจพูดง่ายๆได้ว่า 
She’s too much! ได้ครับ

คำว่า too much ในที่นี้ แปลได้ 2 แบบ ครับ

ความหมายแรก แปลว่า เธอช่างเยอะแท้ ในบริบทว่า ผู้หญิงคนนี้อยากได้นู้นอยากได้นี่ หรือ ไม่พอใจอะไรสักอย่าง

เช่น I try to please her by letting her try on 6 outfits, but she is still not happy with any of them. She is too much!
(ฉันพยายามเอาใจเธอโดยให้เธอลองชุดตั้ง 6 ชุดแต่เธอก็ยังไม่ชอบชุดไหนเลย เธอนี่เยอะจริงๆ)

ความหมายของคำว่า Too much ในอีกนัยหนึ่ง แปลว่า เธอช่างเป็นคนตลกอะไรเช่นนี้ บางครั้งออกจะลามก ทะลึ่ง เล่นมุขจนทำให้คนฟังหัวเราะจนน้ำตาไหล

เช่น  She always makes us cry with laughter every time we see her. She’s too much!
(เธอชอบพูดตลกๆจนทำให้เราหัวเราะจนน้ำตาไหลทุกครั้งที่พบกัน เธอตลกเว่อร์)

ไหนๆก็ให้แล้ว ครูโอ๊ตให้อีก 3 ประโยคที่แปลว่า เยอะ ละกันครับ เพราะครูโอ๊ตเอง ก็ เยอะใช่ย่อยเหมือนกัน 555

Kru Oat is quite a handful!
Kru Oat is high-maintenance.
Kru Oat is very needy. 

Motivation....ออก "แรง....จูง" อย่างไรให้ได้ "ใจ" คนทำงาน


แรงจูงใจ....ออก"แรง...จูง"อย่างไรให้ได้ "ใจ" คนทำงานรอบข้าง

ช่วงนี้ครูโอ๊ตได้รับฟีดแบ็คจากคนรอบข้างและน้องๆที่ไม่ได้เจอกันนานว่า "คิดถึงเวลาอยู่ใกล้ๆครูโอ๊ต เพราะครูโอ๊ตทำให้หนูมองบวก มีแรงทำงาน และรู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆแล้วมีความสุขตลอดเวลา"

ลูกศิษย์บางคนบอกว่า "ครูเอาพลังมาจากไหน เวลาอยู่ใกล้ๆครู หนูรู้สึกได้ถึงพลังดีๆที่หนูรับรู้ได้ และทำให้หนูอยากมาเรียน หรือกลับไปซ้อมเต้นที่บ้าน ก่อนมาเรียนกับครู"

ที่ร้ายไปกว่านั้น มีลูกศิษย์ซึ่งเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษถามว่า "ครูค่ะ ครูเคยโกรธใครไหม๊คะ เห็นยิ้มอยู่ตลอดเวลา" ...(โอ้ย แม่เจ้า....เคยสิคะ.....เวลาโกรธที...ตัวใครตัวมันนะ....ระเบิดลงเลยละ....ขอเตือนไว้ก่อน)


ผมก็เลยเกิดความสงสัยว่า เจ้า Motivation หรือ แรงจูงใจนั้น มันมีพลังบางอย่างที่เรามองไม่เห็นแต่เรารู้สึกได้ สัมผัสได้จริงหรือไม่ และแรงจูงใจนี้ มันแผ่ซ่านออกไปสู่คนรอบข้างได้อย่างไร

ผมเลยเริ่มมองหาคำตอบจากความขี้สงสัยของผม จนได้ไปเจอกับบทความหนึ่งชื่อว่า  “Motivation is Contagious” (by Ron Friendman) ในนิตยสาร "Psychology Todayฉบับเดือน เมษายน 2556

คุณรอนบอกว่า แรงจูงใจและอารมณ์ของคนเรานี่ เป็นโรคติดต่อกันได้นะ....โอ้ว....ฟังแล้วตกใจครับ... ผมต้องฉีดวัคซีน หรือใส่หน้ากากปิดปากไหมเนี้ย
ไม่ใช่ครับ...อย่าเพิ่งกลัวไป....เจ้าแรงจูงใจที่บอกเป็นโรคติดต่อนี้ เป็นโรคติดต่อที่ดีครับ



บทความนี้ บอกว่า จิตใจของคนเรานั้นชอบเลียนแบบสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัว โดยเฉพาะสีหน้าท่าทาง เช่น จากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนักแสดงในทีวีที่ถูกโคสอัฟหน้าให้เห็นถึงอารมณ์นั้นๆ หรือแม้กระทั่งจาก โลโก้บริษัท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกถ้าจะบอกว่า เวลาเราไปดูหนังในโรงใหญ่ที่มีคนดูหลายคน แล้วพอถึงฉากตลก คนดูหัวเราะกันเยอะๆ เราจึงมีความรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ตลกมากจริงๆ ถ้าเทียบกับการดูหนังในห้องนอนคนเดียว หรือการเข้าไปดูการแข่งวอลเล่ย์บอล หรือ การดูแข่งฟุตบอลกับคนเยอะๆในสนามจริง

ดังนั้น เมื่อเราอยู่ใกล้ใคร จิตใต้สำนึกเราก็จะเลียนแบบอย่างคนนั้น โดยที่เราไม่รู้ตัว

มีการทดลองให้ พนักงานใหม่ต้องมาทำงานร่วมกันกับพนักงาน 2 คน โดยคนหนึ่งเป็นคนที่มีพลังเยอะและมีแรงจูงใจในการทำงานสูง ในขณะที่พนักงานอีกคนหนึ่งเป็นคนเช้าชามเย็นชาม ไม่สนใจใยดีกับการทำงานให้เสร็จตรงตามกำหนด ทายซิครับว่าผลออกมาเป็นอย่างไร

ถูกต้องครับ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกลุ่มแรกดีกว่ากลุ่มที่สองมากครับ ทั้งในเรื่องของแรงจูงใจและผลงานที่ทำออกมา

ได้แล้วครับ คำตอบ....เหตุที่เราสามารถส่งผ่านแรงจูงใจหรือพลังบวกจากตัวเราเองไปสู่ผู้อื่นได้นั้น เพราะจิตใต้สำนึกของมนุษย์ชอบการเลียนแบบสิ่งรอบข้าง โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว

ดังนั้น หากหัวหน้างาน หรือ เจ้าของกิจการที่ต้องการให้องค์กรของท่านมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้า บริษัทมีผลกำไร เทคนิคง่ายๆก็คือ การคัดเลือกคนที่เข้ามาทำงาน โดยฝ่ายบุคคลควรหาคนที่มีแรงจูงใจในตัวเอง หรือ self-motivation สูงๆมาร่วมทีม



หรือถ้าหัวหน้าอยากจูงใจลูกน้องให้ทำงานตามที่คาดหวัง ลองเปลี่ยนจากการกระตุ้นลูกน้องด้วยวิธีการเดิมๆ เช่น ให้เงินค่าคมมิสชั่นเพิ่ม มาเป็นจูงใจตัวเอง(หัวหน้า) ให้มีพลังและมีความคิดบวกมากๆ ผมเชื่อว่า เมื่อลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานเห็นท่านฟิตตลอด พลังแห่งความขยันและแรงจูงใจนี้จะกระจายไปสู่คนรอบข้างโดยที่เขาเหล่านั้นไม่รู้ตัว ในที่สุดเขาเหล่านั้นก็จะเริ่มทำตามคุณ


วิธีที่ผมใช้ควบคู่กันอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะเวลาสอนในห้องเรียน คือ ยิ้มง่ายเข้าไว้ ใช้มุขตลก โชว์และสาธิตให้ดู หลังจากนั้นลองให้ทำเอง การให้ฟีดแบ็คที่ตรง จริงใจ ให้กำลังใจเขาเสมอจนเขามั่นใจ และสุดท้ายแสดงถึงความจริงใจที่อยากให้เขาได้ดี
แค่นี้ คุณก็ส่ง “แรงจูง” ที่ได้ “ใจ” ลูกน้องไปเต็มๆครับ