แรงจูงใจ....ออก"แรง...จูง"อย่างไรให้ได้ "ใจ" คนทำงานรอบข้าง
ช่วงนี้ครูโอ๊ตได้รับฟีดแบ็คจากคนรอบข้างและน้องๆที่ไม่ได้เจอกันนานว่า "คิดถึงเวลาอยู่ใกล้ๆครูโอ๊ต เพราะครูโอ๊ตทำให้หนูมองบวก มีแรงทำงาน
และรู้สึกว่าอยู่ใกล้ๆแล้วมีความสุขตลอดเวลา"
ลูกศิษย์บางคนบอกว่า "ครูเอาพลังมาจากไหน เวลาอยู่ใกล้ๆครู หนูรู้สึกได้ถึงพลังดีๆที่หนูรับรู้ได้ และทำให้หนูอยากมาเรียน
หรือกลับไปซ้อมเต้นที่บ้าน ก่อนมาเรียนกับครู"
ที่ร้ายไปกว่านั้น มีลูกศิษย์ซึ่งเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษถามว่า "ครูค่ะ
ครูเคยโกรธใครไหม๊คะ เห็นยิ้มอยู่ตลอดเวลา" ...(โอ้ย แม่เจ้า....เคยสิคะ.....เวลาโกรธที...ตัวใครตัวมันนะ....ระเบิดลงเลยละ....ขอเตือนไว้ก่อน)
ผมก็เลยเกิดความสงสัยว่า เจ้า
Motivation หรือ แรงจูงใจนั้น มันมีพลังบางอย่างที่เรามองไม่เห็นแต่เรารู้สึกได้ สัมผัสได้จริงหรือไม่ และแรงจูงใจนี้ มันแผ่ซ่านออกไปสู่คนรอบข้างได้อย่างไร
ผมเลยเริ่มมองหาคำตอบจากความขี้สงสัยของผม
จนได้ไปเจอกับบทความหนึ่งชื่อว่า
“Motivation is Contagious” (by Ron Friendman) ในนิตยสาร "Psychology Today” ฉบับเดือน เมษายน 2556
คุณรอนบอกว่า แรงจูงใจและอารมณ์ของคนเรานี่ เป็นโรคติดต่อกันได้นะ....โอ้ว....ฟังแล้วตกใจครับ...
ผมต้องฉีดวัคซีน หรือใส่หน้ากากปิดปากไหมเนี้ย
ไม่ใช่ครับ...อย่าเพิ่งกลัวไป....เจ้าแรงจูงใจที่บอกเป็นโรคติดต่อนี้
เป็นโรคติดต่อที่ดีครับ
บทความนี้ บอกว่า จิตใจของคนเรานั้นชอบเลียนแบบสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัว
โดยเฉพาะสีหน้าท่าทาง เช่น จากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
จากนักแสดงในทีวีที่ถูกโคสอัฟหน้าให้เห็นถึงอารมณ์นั้นๆ หรือแม้กระทั่งจาก
โลโก้บริษัท ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกถ้าจะบอกว่า
เวลาเราไปดูหนังในโรงใหญ่ที่มีคนดูหลายคน แล้วพอถึงฉากตลก คนดูหัวเราะกันเยอะๆ
เราจึงมีความรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้ตลกมากจริงๆ
ถ้าเทียบกับการดูหนังในห้องนอนคนเดียว หรือการเข้าไปดูการแข่งวอลเล่ย์บอล หรือ
การดูแข่งฟุตบอลกับคนเยอะๆในสนามจริง
ดังนั้น เมื่อเราอยู่ใกล้ใคร จิตใต้สำนึกเราก็จะเลียนแบบอย่างคนนั้น
โดยที่เราไม่รู้ตัว
มีการทดลองให้ พนักงานใหม่ต้องมาทำงานร่วมกันกับพนักงาน 2
คน
โดยคนหนึ่งเป็นคนที่มีพลังเยอะและมีแรงจูงใจในการทำงานสูง
ในขณะที่พนักงานอีกคนหนึ่งเป็นคนเช้าชามเย็นชาม ไม่สนใจใยดีกับการทำงานให้เสร็จตรงตามกำหนด
ทายซิครับว่าผลออกมาเป็นอย่างไร
ถูกต้องครับ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกลุ่มแรกดีกว่ากลุ่มที่สองมากครับ
ทั้งในเรื่องของแรงจูงใจและผลงานที่ทำออกมา
ได้แล้วครับ
คำตอบ....เหตุที่เราสามารถส่งผ่านแรงจูงใจหรือพลังบวกจากตัวเราเองไปสู่ผู้อื่นได้นั้น
เพราะจิตใต้สำนึกของมนุษย์ชอบการเลียนแบบสิ่งรอบข้าง โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
ดังนั้น หากหัวหน้างาน หรือ
เจ้าของกิจการที่ต้องการให้องค์กรของท่านมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้า บริษัทมีผลกำไร
เทคนิคง่ายๆก็คือ การคัดเลือกคนที่เข้ามาทำงาน โดยฝ่ายบุคคลควรหาคนที่มีแรงจูงใจในตัวเอง หรือ self-motivation สูงๆมาร่วมทีม
หรือถ้าหัวหน้าอยากจูงใจลูกน้องให้ทำงานตามที่คาดหวัง
ลองเปลี่ยนจากการกระตุ้นลูกน้องด้วยวิธีการเดิมๆ เช่น ให้เงินค่าคมมิสชั่นเพิ่ม มาเป็นจูงใจตัวเอง(หัวหน้า) ให้มีพลังและมีความคิดบวกมากๆ ผมเชื่อว่า เมื่อลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานเห็นท่านฟิตตลอด
พลังแห่งความขยันและแรงจูงใจนี้จะกระจายไปสู่คนรอบข้างโดยที่เขาเหล่านั้นไม่รู้ตัว ในที่สุดเขาเหล่านั้นก็จะเริ่มทำตามคุณ
วิธีที่ผมใช้ควบคู่กันอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะเวลาสอนในห้องเรียน คือ ยิ้มง่ายเข้าไว้ ใช้มุขตลก
โชว์และสาธิตให้ดู หลังจากนั้นลองให้ทำเอง การให้ฟีดแบ็คที่ตรง จริงใจ
ให้กำลังใจเขาเสมอจนเขามั่นใจ และสุดท้ายแสดงถึงความจริงใจที่อยากให้เขาได้ดี
แค่นี้ คุณก็ส่ง “แรงจูง” ที่ได้ “ใจ” ลูกน้องไปเต็มๆครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น